ถ้าคุณเป็นอีกคนที่อยากมีหน้าร้านออนไลน์สวยๆ เพื่อทำให้ลูกค้าประทับใจและสร้างยอดขายล่ะก็ มาดูเครื่องมือสร้างเว็บขายของที่ดีที่สุดในปี 2025 ที่จะทำให้คุณมีร้านออนไลน์เป็นของตัวเองได้ในพริบตา
การสร้างร้านค้าออนไลน์อาจดูเป็นงานที่หินเอาเรื่อง แต่ถ้าใช้เครื่องมือที่เหมาะสม มันก็จะเป็นการลงแรงที่คุ้มค่าและทำกำไรได้เช่นกัน
เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ดีควรทำให้การทำธุรกิจออนไลน์ง่ายขึ้น โดยช่วยให้คุณมีหน้าร้านสวยๆ ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้สามารถสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าและทำยอดขายได้
ด้านล่างนี้คือรายชื่อเครื่องมือสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่ดีที่สุดในตลาด มาไล่ดูเครื่องมือเหล่านี้ไปทีละตัว ว่าประโยชน์ เครื่องมือด้านการออกแบบ และฟีเจอร์การขายที่ได้รับความนิยมของแต่ละตัวเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อช่วยให้คุณเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะกับธุรกิจของคุณได้
ถ้าพร้อมแล้ว ก็มาสำรวจ 10 เครื่องมือสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่ดีที่สุดในปี 2025 และลองเริ่มต้นใช้งานด้วยการทดลองใช้ฟรีกันเลย
จัดอันดับ 10 โปรแกรมสร้างเว็บขายของที่ดีที่สุด
เครื่องมือสร้างร้านอีคอมเมิร์ซ |
ราคา/เดือน |
คะแนน G2 |
---|---|---|
฿1,000 |
4.4/5 |
|
Shift4Shop |
฿1,000 |
3.9/5 |
Square Online |
฿1,000 |
4.2/5 |
Squarespace |
฿840 |
4.4/5 |
BigCommerce |
฿1,000 |
4.2/5 |
Wix |
฿1,000 |
4.2/5 |
GoDaddy |
฿700 |
4.1/5 |
WooCommerce |
ฟรี |
4.4/5 |
Volusion |
฿1,200 |
3.2/5 |
Hostinger |
฿100 |
4.⅘ |
- Shopify :แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและค้าปลีกแบบครบวงจรที่ดีที่สุด
- Shift4Shop: ออกแบบมาสำหรับผู้ค้าปลีกที่มีหน้าร้านออฟไลน์
- Square Online: มีแผนบริการทั้งแบบฟรีและแบบมีค่าใช้จ่าย
- Squarespace: มีเครื่องมือสร้างเว็บไซต์แบบลากและวางที่ใช้งานง่าย
- BigCommerce: เน้นไปที่การตอบโจทย์ผู้ค้าปลีกในระดับองค์กร
- Wix: เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ฟรีที่มีฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซแบบชำระเงิน
- GoDaddy: มาพร้อมเครื่องมือการตลาดทางอีเมลในตัว
- WooCommerce: ปลั๊กอินอีคอมเมิร์ซสำหรับ WordPress
- Volusion: มีการกำหนดราคาตาม GMV สำหรับผู้ค้ารายใหญ่
- Hostinger: แผนราคาประหยัด พร้อมพื้นที่เก็บข้อมูลไม่จำกัด
1. Shopify
ด้วยแผนบริการที่ราคาไม่แพง การออกแบบที่สวยงาม และเครื่องมือทรงพลังโปรแกรมสร้างเว็บขายของที่ดีที่สุด Shopify จึงเป็นวิธีที่ง่ายและเชื่อมั่นได้มากที่สุดในการพาธุรกิจของคุณมาสู่โลกออนไลน์ เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ของ Shopify ได้ช่วยให้ผู้ขายหลายล้านรายมีร้านค้าออนไลน์เป็นของตัวเองโดยไม่ต้องเขียนโค้ดเป็นหรือมีงบก้อนใหญ่เลย
ทำไมถึงต้องเลือกเครื่องมือสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเจ้านี้
ร้านค้า Shopify แต่ละร้านมาพร้อมทุกสิ่งที่คุณต้องการในการเริ่มต้นเปิดร้าน ไม่ว่าจะเป็นใบรับรอง SSL, โฮสติ้งโดเมน, ธีมที่ดีไซน์มาอย่างโปรกว่า 200 ธีม รวมถึงฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซต่างๆ ที่จำเป็น เช่น การชำระเงิน, การจัดการคำสั่งซื้อ และอีเมลแจ้งเตือนตะกร้าสินค้าที่ยังไม่ชำระเงิน
คุณสามารถขายสินค้าผ่านหน้าร้านของคุณ รวมถึงตลาดและแพลตฟอร์มหลักๆ ในโลกโซเชียลได้ทั้งหมด เพราะ Shopify มาพร้อมระบบที่สามารถผสานการทำงานได้อย่างง่ายสุดๆ
นอกจากนี้ คุณยังสามารถรับการชำระเงินได้อย่างราบรื่นด้วย Shopify Payments หรือช่องทางการชำระเงินที่มีให้เลือกกว่า 100 ช่องทาง รวมถึง PayPal และ Bitcoin ด้วย แถมคุณยังสามารถบูสต์อัตราคอนเวอร์ชันผ่านฟีเจอร์การชำระเงินแบบด่วนที่ดีที่สุดในโลกอินเทอร์เน็ตได้อีกด้วย
หลังจากที่คุณขายสินค้าได้แล้ว คุณสามารถใช้ Shopify Shipping เพื่อพิมพ์ใบจ่าหน้าสำหรับการจัดส่งได้ในคลิกเดียว และประหยัดค่าส่งสินค้ากับผู้ให้บริการขนส่งเจ้าหลักๆ ได้ถึง 88%
ถ้าคุณต้องการเครื่องเมือเพิ่มเติมจากนี้ ก็สามารถไปสำรวจ แอป Shopify ที่มีกว่า 8,000 แอป เพื่อผลักดันขีดความสามารถด้านการตลาด ยอดขาย และการให้บริการช่วยเหลือลูกค้าสำหรับร้านค้าของคุณได้เลย
แผนและราคา
เริ่มทดลองใช้ฟรีกับ Shopify โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต แผนบริการแบบชำระเงินเริ่มต้นที่ประมาณ 1,000 บาทต่อเดือนเมื่อชำระเงินแบบรายปี
ฟีเจอร์
- การออกแบบที่เหมาะกับอุปกรณ์เคลื่อนที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถช้อปได้ง่ายๆ จากอุปกรณ์ใดก็ได้
- การควบคุม HTML และ CSS ได้เต็มที่สำหรับผู้ที่ชอบปรับแต่งทุกรายละเอียด
- การปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้ติดอันดับต้นๆ ในการค้นหา (SEO) เพื่อช่วยให้ลูกค้าหาคุณเจอ
- การจัดการสินค้าคงคลังและคำสั่งซื้อที่ง่ายดาย
- แบนด์วิดท์ไม่จำกัด ซึ่งหมายความว่าไม่มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม ไม่ว่าจะมียอดเข้าชมร้านค้ามากแค่ไหน
- การวิเคราะห์ที่ละเอียดเพื่อช่วยประกอบการตัดสินใจทางธุรกิจ
- การผสานการทำงานร่วมกับ Shopify POS สำหรับการขายแบบออฟไลน์และออนไลน์
- จัดการได้ทุกที่ด้วยแอป Shopify บนมือถือ
- การสนับสนุนตลอด 24 ชั่วโมงผ่านอีเมล แชท และโทรศัพท์
คะแนน G2 ⭐: 4.4/5
2. Shift4Shop
Shift4Shop ออกแบบมาสำหรับผู้ค้าปลีกที่ต้องการสร้างตัวตนในโลกออนไลน์อย่างรวดเร็ว โดยมาพร้อมหลากเครื่องมือสำหรับอีคอมเมิร์ซและธีมที่สามารถเปลี่ยนรูปแบบตามการแสดงผลของหน้าจออุปกรณ์เคลื่อนที่ จึงเรียกได้ว่าเป็นตัวเลือกที่ใช้งานได้จริงสำหรับเจ้าของร้าน
ทำไมถึงต้องเลือกโปรแกรมสร้างเว็บขายของที่ดีที่สุดเจ้านี้
Shift4Shop มุ่งเน้นไปที่การนำเสนอฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซหลักๆ ที่จำเป็น โดยมีตัวเลือกการปรับแต่งที่จำกัด จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเครื่องมือในการสร้างร้านค้าออนไลน์ที่ตรงไปตรงมาและมีแบบแผนชัดเจน
แผนและราคา
แผนบริการแบบชำระเงินเริ่มต้นที่ประมาณ 1,000 บาทต่อเดือน
ฟีเจอร์
- รองรับผู้ประมวลผลการชำระเงินหลายราย
- มีเทมเพลตฟรีกว่า 90 รายการเพื่อเปิดตัวเว็บไซต์ของคุณ
- เครื่องมือ SEO ในตัวเพื่อเพิ่มการมองเห็นของเว็บไซต์ของคุณ
- มีระบบแจ้งเตือนตะกร้าสินค้าที่ยังไม่ชำระเงิน เพื่อไม่ให้เสียยอดขายที่อาจเกิดขึ้น
ข้อดีและข้อเสีย
- ตั้งค่าได้รวดเร็ว
- รองรับวิธีการชำระเงินที่หลากหลาย
- ความยืดหยุ่นในการปรับแต่งน้อยกว่าแพลตฟอร์มอย่าง Shopify
คะแนน G2 ⭐: 3.9/5
3. Square Online
Square Online หรือที่เดิมรู้จักกันในชื่อ Weebly โปรแกรมสร้างเว็บขายของที่ดีที่สุดที่นำเสนอแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่ายแบบที่ใครๆ ก็สามารถสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเป็นของตัวเองได้ฟรี แต่ถ้าคุณต้องการมีโดเมนเป็นของตนเองหรืออยากเอาโฆษณาออก คุณจะต้องซื้อแผนบริการแบบชำระเงิน
ทำไมถึงต้องเลือกเครื่องมือสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเจ้านี้
ถ้าคุณกำลังมองหาเครื่องมือสร้างอีคอมเมิร์ซฟรี แผนพื้นฐานของ Square Online นั้นมีฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การอัปเดตการจัดส่งแบบเรียลไทม์และเครื่องมือสร้างคูปองอยู่ในตัวแล้ว แต้ถ้าต้องการฟีเจอร์มากกว่านี้ คุณก็ต้องขยับแผนบริการของ Square Online สักหน่อย นอกจากนี้ Square Online ยังผสานการทำงานกับ Square POS เพื่อให้สามารถประมวลผลการชำระเงินในร้านได้แบบไม่มีสะดุด
แผนและราคา
ฟรี แผนบริการโปรแกรมสร้างเว็บขายของที่ดีที่สุดแบบชำระเงินเริ่มต้นที่ประมาณ 1,000 บาทต่อเดือนเมื่อจ่ายรายปี
ฟีเจอร์
- การจัดการสินค้าคงคลังหลายรายการในครั้งเดียว เพื่อนำเข้าและแก้ไขคำอธิบายผลิตภัณฑ์
- เว็บไซต์ที่ออกแบบมาให้เหมาะกับอุปกรณ์เคลื่อนที่ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ง่าย
- มีเครื่องมือสร้างคูปองให้ใช้ในแผนบริการแบบชำระเงิน
- ผสานการทำงานเข้ากับ Square POS เพื่อการจัดการธุรกิจที่เป็นหนึ่งเดียว
ข้อดีและข้อเสีย
- เวอร์ชันฟรีมีฟีเจอร์ให้ใช้เอยะ
- ออกแบบโดยเน้นการใช้งานบนโทรศัพท์มือถือ
- มีตัวเลือกการปรับแต่งอย่างจำกัดเมื่อเปรียบเทียบกับแพลตฟอร์มอย่าง Shopify
คะแนน G2 ⭐: 4.2
4. Squarespace
Squarespace ขึ้นชื่อเรื่องเทมเพลตอันทันสมัยและเครื่องมือสร้างแบบลากและวางที่ใช้งานง่าย คุณสามารถปลดล็อกฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซของแพลตฟอร์มได้เมื่ออัปเกรดเป็นแผนบริการแบบชำระเงิน
ทำไมถึงต้องเลือกเครื่องมือสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเจ้านี้
ก่อนอื่นต้องพูดถึงเทมเพลต คุณสามารถปรับแต่งหน้าตาเว็บไซต์ของคุณโดยการปรับสี ข้อความ และภาพให้ตรงกับแบรนด์ของคุณ ส่วนเรื่องการชำระเงิน Squarespace รองรับวิธีการชำระเงินแบบต่างๆ ไม่ว่าเป็น Stripe, PayPal, Apple Pay และ Afterpay และแผน Commerce Advanced ยังรองรับการซื้อแบบเหมาจ่ายล่วงหน้าและบัตรของขวัญด้วย
ถ้าคุณกำลังใช้ Squarespace สำหรับเว็บไซต์ที่ไม่ใช่อีคอมเมิร์ซอยู่แล้ว คุณก็สามารถเพิ่มฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซได้ง่ายๆ ด้วย Shopify Buy Button ในราคาแค่ประมาณเดือนละ 150 บาท ซึ่งโค้ดสั้นๆ นี้ก็ช่วยให้คุณเข้าถึงตัวเลือกการชำระเงินและเครื่องมือการติดตามที่หลากหลายของ Shopify
ราคาและแผน
ทดลองใช้ฟรี 3 วัน ส่วนแผน Basic Commerce เริ่มต้นที่ประมาณ 840 บาทต่อเดือนเมื่อจ่ายรายปี
ฟีเจอร์
- เครื่องมือสร้างแบบลากและวาง พร้อมเทมเพลตและเลย์เอาต์เริ่มต้นที่หลากหลาย
- การออกแบบที่เปลี่ยนรูปแบบตามการแสดงผลของหน้าจอและอุปกรณ์
- การแก้ไข WYSIWYG แบบกำหนดเองได้สำหรับเนื้อหาหลากหลายประเภท
- มีรายการผลิตภัณฑ์ได้ไม่จำกัด
- ระบบการส่งอีเมลอัตโนมัติหลังการซื้อ
ข้อดีและข้อเสีย
- เหมาะสำหรับการขายผลิตภัณฑ์และบริการ
- มีฟีเจอร์การขายการซื้อแบบเหมาจ่ายล่วงหน้าในแผน Advanced
- มีส่วนขยายของผู้ให้บริการภายนอกกว่าพลตฟอร์มอย่าง Shopify
คะแนน G2 ⭐: 4.4/5
5. BigCommerce
BigCommerce มุ่งเน้นไปที่ธุรกิจขนาดใหญ่ด้วยเครื่องมืออีคอมเมิร์ซที่แข็งแกร่งและแพลตฟอร์มที่ปรับแต่งได้ โดยนำเสนอการโฮสต์เว็บไซต์ และการปรับแต่งเว็บไซต์ได้หลากหลายรูปแบบ
ทำไมถึงต้องเลือกเครื่องมือสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเจ้านี้
หนึ่งในโปรแกรมสร้างเว็บขายของที่ดีที่สุด BigCommerce ได้รับการออกแบบมาเพื่อการขายระหว่างประเทศ การปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับต้นๆ ในเครื่องมือค้นหา และการขายผ่านหลากหลายช่องทาง ทั้งในแพลตฟอร์มโซเชียลและตลาดออนไลน์
ราคาและแผน
ทดลองใช้ฟรี 15 วัน แผนบริการแบบชำระเงินเริ่มต้นที่ประมาณ 1,000 ต่อเดือนเมื่อจ่ายรายปี
ฟีเจอร์
- เครื่องมือแก้ไขภาพสำหรับการปรับแต่งแบบลากและวาง
- ธีมที่สามารถปรับแต่งได้โดยใช้ HTML, CSS และ Javascript
- การปรับแต่งการชำระเงินผ่าน API และ SDK
- รองรับกระเป๋าเงินดิจิทัล เช่น Amazon Pay และ Apple Pay
- รองรับหลากสกุลเงินและหลายภาษาเพื่อการขายทั่วโลก
ข้อดีและข้อเสีย
- ขายระหว่างประเทศผ่านหลายช่องทางการขาย
- ออกแบบมาสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่
- แผนบริการต่างๆ จะมีขีดจำกัดสำหรับยอดขายประจำปี
คะแนน G2 ⭐: 4.2/5
6. Wix
Wix เสนอเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ไม่ต้องใช้เทคนิคเพื่อสร้างร้านค้าออนไลน์ ผู้ใช้สามารถสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซโดยใช้เครื่องมือสร้างแบบลากและวางได้ฟรี แต่ถ้าจะเริ่มขาย ก็จะต้องอัปเกรดเป็นแผนบริการแบบชำระเงิน
ทำไมถึงต้องเลือกเครื่องมือสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเจ้านี้
Wix มีเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการจัดการธุรกิจอีคอมเมิร์ซของคุณ รวมถึงการติดตามคำสั่งซื้อ การรับชำระเงินออนไลน์ และการขายหลายช่องทาง อย่างไรก็ตาม แผนพื้นฐานนั้นขาดฟีเจอร์การจัดการสินค้าคงคลังขั้นสูง เช่น การแจ้งเตือนสินค้าคงคลังต่ำและเครื่องคำนวณภาษี ร้านค้าที่มีสินค้าคงคลังขนาดใหญ่อาจต้องการซอฟต์แวร์อีคอมเมิร์ซ ที่มีเครื่องมือการติดตามสินค้าคงคลังที่ล้ำยิ่งกว่านี้
ราคาและแผน
แผน Business Basic เริ่มต้นที่ประมาณ 1,000 ต่อเดือนเมื่อจ่ายรายปี
ฟีเจอร์
- อินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายสำหรับการสร้างร้านค้าออนไลน์
- เทมเพลตที่หลากหลายเพื่อปรับแต่งเว็บไซต์ของคุณ
- การผสานการทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Facebook, Instagram และ eBay
- ใบรับรอง SSL ฟ รีเพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและการทำธุรกรรมของลูกค้า
- หน้าผลิตภัณฑ์ที่ปรับแต่ง SEO เพื่อเพิ่มการมองเห็นในการค้นหา
- ความสามารถในการนำเข้าคำอธิบายผลิตภัณฑ์ผ่านไฟล์ CSV
ข้อดีและข้อเสีย
- โปรแกรมสร้างเว็บขายของที่ดีที่สุด ใช้งานง่าย มีตัวเลือกการออกแบบที่ยืดหยุ่น
- ฟีเจอร์การจัดการสินค้าคงคลังที่จำกัด เช่น การแจ้งเตือนสินค้าคงคลังต่ำ ซึ่งมีให้ใน Shopify
คะแนน G2 ⭐: 4.2/5
7. GoDaddy
GoDaddy เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้ให้บริการโฮสต์เว็บไซต์ แต่ GoDaddy ก็ยังมีเครื่องมือสร้างเว็บไซต์เจ๋งๆ สำหรับผู้ที่กำลังามองหาการผสานการทำงานของอีคอมเมิร์ซเข้ากับมันเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรวมอีคอมเมิร์ซเข้ากับการมีตัวตนในโลกออนไลน์ในวงกว้างขึ้น
ทำไมถึงต้องเลือกเครื่องมือสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเจ้านี้
GoDaddy ทำให้การสร้างร้านค้าออนไลน์ง่ายขึ้นด้วยเทมเพลตที่เหมาะกับอุปกรณ์เคลื่อนที่มากกว่า 100 รายการ พร้อมเครื่องมือในตัวสำหรับ SEO และแคมเปญการตลาดทางอีเมล
ราคาและแผน
แผนอีคอมเมิร์ซเริ่มต้นที่ประมาณ 700 ต่อเดือนเมื่อจ่ายรายปี
ฟีเจอร์
- การเลือกเทมเพลตที่หลากหลายเพื่อเริ่มร้านค้าออนไลน์ของคุณอย่างรวดเร็ว
- การผสานการทำงานกับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Instagram และ Facebook
- การจัดการยอดขายและสินค้าคงคลังอัตโนมัติในทุกช่องทาง
- ตัวเลือกการชำระเงินหลายรายการ รวมถึง Google Pay และ Venom ด้วย
- การผสานการทำงานของ POS เพื่อเชื่อมโยงยอดขายในโลกออนไลน์และออฟไลน์
ข้อดีและข้อเสีย
- ราคาสามารถแข่งขันได้
- จำกัดการขายได้เพียง 1,000 คำสั่งซื้อต่อเดือนสำหรับการขายในตลาด
คะแนน G2 ⭐: 4.1/5
8. WooCommerce
อันดับต่อมาของโปรแกรมสร้างเว็บขายของที่ดีที่สุด ได้แก่ WooCommerce เป็นปลั๊กอินสำหรับผู้ใช้ WordPress ที่จะเปลี่ยนทุกเว็บไซต์ WordPress ให้เป็นร้านค้าอีคอมเมิร์ซที่ใช้งานได้จริง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับ WordPress อยู่แล้ว
ทำไมถึงต้องเลือกเครื่องมือสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเจ้านี้
WooCommerce ผสานการทำงานกับ WordPress ได้ในระดับลึก โดยมาพร้อมฟีเจอร์มากมายสำหรับการจัดการสินค้าคงคลัง การชำระเงินที่ปลอดภัย และการจัดส่ง คุณสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานของ WooCommerce ได้ด้วยปลั๊กอินและธีมต่างๆ ที่มีให้เลือกซื้อ
ราคาและแผน
ฟรี โดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับการโฮสต์ WordPress และปลั๊กอิน
ฟีเจอร์
- ออกแบบมาสำหรับ WordPress โดยใช้ระบบนิเวศที่กว้างขวางครอบคลุม
- การออกแบบที่เหมาะกับอุปกรณ์เคลื่อนที่ เพื่อสร้งประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ยอดเยี่ยมบนทุกอุปกรณ์
- การควบคุมข้อมูลลูกค้าและธุรกิจของคุณได้เต็มที่ โดยไม่มีการเข้าถึงจากผู้ให้บริการภายนอก
- โอเพนซอร์สเพื่อการปรับแต่งร้านค้าของคุณอย่างเต็มที่
ข้อดีและข้อเสีย
- เหมาะสำหรับการเพิ่มอีคอมเมิร์ซให้กับเว็บไซต์ WordPress เดิมที่มีอยู่แล้ว
- มีฟังก์ชันพื้นฐานโดยไม่ต้องใช้ปลั๊กอินเพิ่มเติม
- สำหรับผู้ใช้ WordPress เท่านั้น
คะแนน G2 ⭐: 4.4/5
9. Volusion
Volusion มาพร้อมชุดเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างหน้าแรกของเว็บไซต์และหน้าผลิตภัณฑ์ โดยรองรับช่องทางการชำระเงินที่หลากหลาย เพื่อให้สามารถทำธุรกรรมได้อย่างราบรื่น
ทำไมถึงต้องเลือกเโปรแกรมสร้างเว็บขายของที่ดีที่สุดเจ้านี้
Volusion มีเครื่องมือการจัดการสินค้าคงคลังและการวิเคราะห์เพื่อช่วยติดตามประสิทธิภาพของร้านค้า ทั้งยังมาพร้อมฟังก์ชัน "ผลิตภัณฑ์ที่แนะนำ" ในตัว เพื่อพัฒนาประสบการณ์ลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม Volusion นั้นได้รับการออกแบบมาโดยเน้นการขายสินค้าที่จับต้องได้เป็นหลักและไม่รองรับสินค้าดิจิทัล
ราคาและแผน
แผนบริการเริ่มต้นที่ประมาณ 1,200 บาทต่อเดือนเมื่อจ่ายรายปี
ฟีเจอร์
- บล็อกเนื้อหาที่ลากและวางเพื่อการปรับแต่งเลย์เอาต์หน้าที่ง่ายดาย
- ธีมที่สามารถเปลี่ยนรูปแบบตามการแสดงผลของอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้
- เครื่องมือ CSS สำหรับการปรับแต่งองค์ประกอบต่างๆ ของเว็บไซต์
- การตั้งค่าการเรียกเก็บเงินซ้ำสำหรับผลิตภัณฑ์แบบเหมาจ่ายล่วงหน้า
ข้อดีและข้อเสีย
- แผนพื้นฐานมีฟีเจอร์จำกัด และยังคงมีราคาสูง
- จำกัดปริมาณการขายและรายการสินค้า
- ไม่รองรับการขายสินค้าดิจิทัล ซึ่งแตกต่างจาก Shopify
คะแนน G2 ⭐: 3.2/5
10. Hostinger
Hostinger นำเสนอวิธีการที่เรียบง่ายในการสร้างร้านค้าออนไลน์ ด้วยเครื่องมือสร้างเว็บไซต์แบบลากและวาง เรียกได้ว่าถูกออกแบบมาสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเรียบๆ แต่ใช้งานได้จริง
ทำไมถึงต้องเลือกเครื่องมือสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเจ้านี้
Hostinger โปรแกรมสร้างเว็บขายของที่ดีที่สุดผสานการทำงานกับเครื่องมือต่างๆ เช่น Google Analytics และโฆษณา Facebook เพื่อมอบข้อมูลเชิงลึกสำหรับใช้พัฒนากิจกรรมทางการตลาดของคุณ แม้ Hostinger จะไม่มีแผนบริการฟรี แต่ค่าธรรมเนียมรายเดือนก็ต่ำและมีเครื่องมืออีคอมเมิร์ซพื้นฐานที่หลากหลาย
ราคาและแผน
ประมาณ 100 บาทต่อเดือนเมื่อจ่ายรายปี
ฟีเจอร์
- เครื่องมือแก้ไขแบบลากและวางเพื่อการปรับแต่งอย่างง่าย
- เครื่องมือ CRM สำหรับการจัดการอีเมล ส่วนลด และรหัสคูปอง
- การรายงานที่ละเอียดและการรวมเข้ากับเครื่องมือการตลาด
ข้อดีและข้อเสีย
- แผนราคาประหยัดพร้อมการโฮสต์ในคลาวด์ฟรี
- จำกัดรายการสินค้าที่ 500 รายการ
- ไม่มีการทดลองใช้ฟรี แต่มีส่วนลดส่งเสริมการขายบ่อยครั้ง
คะแนน G2 ⭐: 4.4/5
วิธีเลือกโปรแกรมสร้างเว็บขายของที่ดีที่สุด
ไม่ว่าคุณจะกำลังเปิดตัวร้านค้าเล็กๆ หรือขยายอาณาจักรอีคอมเมิร์ซของคุณ นี่คือสิ่งที่คุณต้องพิจารณาเมื่อเลือกแพลตฟอร์ม
งบประมาณ แผนธุรกิจ และราคา
คุณยินดีจ่ายเท่าไหร่สำหรับร้านค้าของคุณในแต่ละปี แผนการเติบโตของคุณคืออะไร โปรแกรมสร้างเว็บขายของบางตัวจะเรียกเก็บเงินสูงขึ้นเมื่อคุณเพิ่มรายการผลิตภัณฑ์และประมวลผลคำสั่งซื้อมากขึ้น คุณจะต้องคิดถึงสิ่งที่ธุรกิจของคุณต้องใช้สำหรับการเปิดตัวในตอนนี้ ควบคู่ไปกับการพิจารณาว่าคุณจะนำเสนอสินค้ากี่รายการในอนาคต
ระดับทักษะการสร้างเว็บไซต์
คุณมีทักษะทางเทคนิคมากน้อยเพียงใด เครื่องมือสร้างเว็บขายของหลายตัวใช้เทคโนโลยีลากและวางเพื่อช่วยให้คุณสร้างสามารถเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่ดีที่สุดได้ แต่คุณยังต้องมีทักษะต่างๆ ในระดับพื้นฐานเพื่อสร้างหน้าผลิตภัณฑ์ เพิ่มสินค้าลงในร้านของคุณ และตั้งค่าแอปหรือปลั๊กอินต่างๆ ดังนั้นคุณจึงควรพิจารณาว่าตนเองมีประสบการณ์ในการใช้เครื่องมือสร้างซอฟต์แวร์และระบบหลังบ้านมากน้อยแค่ไหน
การปรับแต่ง
คุณต้องการเว็บไซต์หน้าต่างเรียบง่ายเพื่อโชว์สินค้าของคุณหรือไม่ หรือคุณต้องการฟีเจอร์ที่ล้ำยิ่งขึ้น เช่น ตารางไซส์สำหรับหน้าผลิตภัณฑ์หรือหน้าต่างแชทหรือเปล่า คำนึงถึงหน้าตาและความรู้สึกที่คุณต้องการให้เว็บไซต์ของคุณมี รวมถึงฟีเจอร์เพิ่มเติมที่คุณต้องใช้เพื่อทำให้ได้ตามที่ต้องการด้วย
บริการช่วยเหลือสนับสนุน
ถ้าคุณค่อนข้างจะเป็นมือใหม่ในการสร้างเว็บขายของ ก็มีโอกาสที่คุณจะต้องขอความช่วยเหลืออยู่บ้าง เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่คุณต้องการใช้มีบริการช่วยเหลือและบริการสอนผ่านช่องทางแขทหรือไม่ ให้คุณเลือกแพลตฟอร์มที่สามารถช่วยคุณแก้ปัญหาได้ง่ายๆ และรวดเร็ว เพื่อให้คุณสามารถเปิดร้านค้าและเริ่มขายออนไลน์ได้
ช่องทางการชำระเงิน
คุณจำเป็นต้องมีช่องทางการชำระเงินเพื่อรับการชำระเงินจากลูกค้าอย่างปลอดภัย และทำให้การชำระเงินง่ายสำหรับผู้ซื้อ ตัวอย่างเช่น ฟีเจอร์การชำระเงินด่วนของ Shop Pay นั้นสามารถเพิ่มความเร็วในการชำระเงินได้ถึง 4 เท่า และช่วยให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่ต้องการได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ Shopify ยังนำเสนอระบบที่ผสานการทำงานเข้ากับช่องทางการชำระเงินมากกว่า 100 ช่องทาง เพื่อให้คุณสามารถเสนอทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ซื้อของคุณได้ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่มุมไหนของโลก
ค้นหาโปรแกรมสร้างเว็บขายของที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซของคุณ
ตอนนี้คุณก็ได้ข้อมูลโปรแกรมสร้างเว็บขายของที่ดีที่สุดที่จำเป็นครบแล้ว ต่อไปก็ถึงเวลาสำรวจตัวเลือกต่างๆ ที่คุณมีแล้วล่ะ เครื่องมือแต่ละเจ้าก็มีจุดแข็งและจุดอ่อนต่างๆ กันไป แต่การเข้าใจความต้องการเฉพาะตัวของคุณก็จะช่วยให้คุณสามารถเลือกเครื่องมือที่เหมาะที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณได้
การลงทุนในเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่มีคุณภาพสามารถยกระดับแบรนด์ของคุณและเพิ่มยอดขายได้ ด้วยความที่แพลตฟอร์มต่างๆ นั้นก็นำเสนอการทดลองใช้ฟรี คุณจึงมีโอกาสที่จะค้นหาตัวเลือกที่เหมาะที่สุดสำหรับความต้องการทางธุรกิจของคุณได้
ภาพประกอบโดย Till Lauer
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโปรแกรมสร้างเว็บขายของที่ดีที่สุด
โปรแกรมสร้างเว็บขายของที่ดีที่สุดและใช้ฟรี มีอะไรบ้าง
- Shopify
- Wix
- Squarespace
- WooCommerce
- BigCommerce
- Square Online
- GoDaddy
- Volusion
จะสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเอง มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่
หากคุณต้องการสร้างร้านค้าออนไลน์แบบฟรีๆ ให้คุณเริ่มต้นที่การใช้เครื่องมือสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ แพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Shopify นั้นมีให้ทดลองใช้ฟรี คุณจึงสามารถค่อยๆ สร้างร้านออนไลน์ที่เหมาะที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ แล้วค่อยชำระเงินหลังหมดช่วงทดลองใช้ได้ มาเริ่มต้นกับ Shopify
การสร้างร้านค้าออนไลน์เป็นเรื่องง่ายหรือเปล่า
ง่าย เพราะเมื่อใช้เครื่องมือสร้างร้านค้า เช่น Shopify คุณก็สามารถเข้าถึงเทมเพลตที่ออกแบบมาอย่างดีเพื่อเปิดร้านค้าของคุณในไม่กี่นาที แถมยังสามารถปรับแต่งสี ข้อความ รูปภาพ เลย์เอาต์ และอื่นๆ ให้ตอบโจทย์แบรนด์ของคุณได้ด้วย มาเริ่มต้นกับ Shopify